เลี้ยงสายเลือดปฐมวัย

WP Symposium Pro - Extensions Plugin
This demonstration has expired, please purchase a licence or uninstall the WP Symposium Pro Extensions plugin - get a valid licence code here.

ในวัยเดิมเกิดถึง 1 ปี ซึ่งเรียกว่าวัยทารกนั้น ผู้เยาว์ต้องการการสมโภชดูอย่างอบอุ่นชิดชิด ต้องการให้พ่อแม่โอบล้อมอุ้ม โอบกอด และตอบตอบสนองความแตะต้องการของเด็กอย่างสม่ำอาจิณ เพื่อที่อยู่เด็กจะ สามารถสร้างความมั่นใจว่าได้รับความรักและความช่วยเหลือเมื่อต้องการ ซึ่งการให้ความรักใคร่ชอบพอและการ ตอบสนองความต้องการของเด็กแรกคลอดนี้ สดการกระทำวิธีธรรมดาที่สุดข้าวของเครื่องใช้แม่ทุกคน ผ่านการเลี้ยงลูก ด้วยนมแม่
เมื่อทารกแรกเกิดหิว ก็จะกำสรวล เพราะการกันแสงเป็นวิธีการเดียวในวัยนี้ที่ลูกจะสื่อสารให้พ่อ แม่รับรู้ เมื่อแม่ได้ยินเสียงลูกเป่าปี่ก็จะรีบวิ่งมาพิจารณาลูก อุ้มลูกขึ้นมากอดกระชับแนบอก ให้ลูกดูดนม ลูกจะหยุดร้องทันที เมื่อดูดเกษียรไปสักพักก็จะสบายกาย หายหิว ลูกก็จะขึ้นต้นมองด้านแม่ ซึ่งเลยเวลาตาของ ลูกเต้าในวัยแรกผลิตนี้จะมองเห็นในระยะใกล้ๆ ประมาณ 1 ฟุต (10-12 นิ้วฟุต) พอลูกเริ่มพิศแม่ก็จะยิ้มร่า พยักพเยิด สบตา หรือส่งน้ำเสียงคุยและลูก เลือดเนื้อเชื้อไขก็จะจำฤดูแม่คว้า ต่อไปก็จะเปิดตัวพัฒนาความรู้สึกและเรียน รู้ว่า เมื่อหิวหรือแม้ไม่สบายตัว เช่น โชกเปื้อน และร้องไห้ ก็จะมีใครคนเอ็ดที่มีความนุ่มนวลนวล มีอ้อม กอดกระชับ มีอาหารอร่อยให้กิน ยิ้มแย้มและพูดคุยด้วยเสียงแหลมจิ๊ดที่คุ้นเคย ลูกก็เริ่มรู้สึกว่า ตัวเองมีคนรักใคร่ ห่วงใย มีที่พึ่ง ที่คาดปรารถนาได้ ฉะนั้นคราวลูกร้องไห้ร้องห่ม แม่จงรีบมาดูในช่วงแรกๆ ต่อไปครั้งลูกได้ยินเสียงพระชนนี ก็จะหยุดรอด้วยความหวังตำหนิติเตียนแม่จะมาหา มาช่วยกอดรัดปลอบใจให้หายใจแป้ว ให้กินเหยื่อเพื่อให้ง่ายตัว ถ้าแม่ไม่ปล่อยให้ลูกเต้ารอนานเลยไป มาจัดหาลูกวิธาสม่ำเป็นประจำ จะทำยื่นให้เด็ก มีเนื้อความเชื่อมั่นในความรักและความช่วยมากเกินของมาตุเรศ เกิดความรักกรณีผูกพันแก่แม่ และรอบรู้สร้าง เหตุรัก ความสัมพันธ์กับพ่อและมนุชอื่นๆ ในคลุมครัวต่อไป
แม่บางคน ไตร่ตรองว่าถ้ารีบมาอุ้มทุกครั้งที่ลูกร้องจะทำให้ลูกพลาดนิสัย เอาแต่ทรวงตัว ซึ่งเป็นกรณี เชื่อพื้นที่ผิดชุก พ่อแม่ไม่สามารถเนรมิตให้ลูกพลาดนิสัยออกจากการอุ้มหาได้เลย เพราะการร้องไห้ของเด็ก เป็นงาน สื่อสารอย่างเดี่ยวในวัยแต่ก่อนเกิดที่เด็กจะบอกคดีต้องการให้มาตุรับรู้ว่าหนูหิว หนูเปียก หนูเปื้อน หรือ หนูตกใจเข็ดเขี้ยว อยากสละให้แม่กอดหน่อย เพื่อจะได้อุ่นใจและอุ่นกาย
ในวัยทารกนี้ สิ่งสำคัญในการช่วยให้ลูกมีการพัฒนาในด้านจิตใจและสังคมที่ดีก็คือ การตอบ สนองความจำเป็นต้องการที่สม่ำสม่ำเสมอคงเส้นคงวา จะทำให้ลูกมีคดีมั่นใจณความรักสิ่งของแม่ เกิดข้อความรัก ข้อความผูกพันด้วยกันแม่ก่อนกำหนด แล้วเกิดความรักความผูกพันกับพ่อและสมาชิกในครอบครัวตามมา ซึ่งจะ เป็นพื้นที่หนึ่งที่ดีในการสร้างความเกี่ยวดองระหว่างคนของสายเลือดต่อไปในหนหน้า จะช่วยให้ลูกมีคดี มั่นใจที่จะสืบสวนและเรียนได้ข่าวสิ่งแวดห้อมล้อมในวัยฝึกฝนเดินสร้างไป
ในวัยหัดก้าวเดินอายุ 1-3 ปี เยาวชนสามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนเองได้ ฉะนั้นเด็กแล้วจึงต้องการ เหตุเป็นอิสระ ต้องการทำฤๅด้วยท่อนเอง เชี่ยวชาญควบคุมร่างกายได้ ปัญญาและระบบโปรดให้มี ความเจริญมากรุ่ง รวมทั้งพ่อมาตุเรศ ผู้เลี้ยงดู ที่คอยตอบรับเสียงอือออของเด็ก พูดกับเด็กบ่อยๆ จะทำแจก เด็กมีความสามารถและความเจริญพูดได้โศภาขึ้นเรื่อยๆ หมดหนทางเด็กสามารถตัวนำสารเพราะการพูดพร้อมทั้งใช้คำเผย บอกถึงความต้องการของตัวเอง มีความเข้าใจนิรุกติพูดคว้ามากขึ้น สามารถควบคุมกล้ามเนื้อหูรูดที่ กระเพาะอาหารปัสสาวะและทวารหนัก ทำให้ห้อคุมการขับถ่ายได้ เป็นได้ใช้มือถือจับสิ่งข้าวของต่างๆ ได้เอง
ฉะนั้นณวัยนี้ พ่อแม่ต้องส่งเสริมให้ลูกทำภาระกิจประจำทิวากาลของลูกคว้าเอง ตัวอย่างเช่น หัดให้ระบุความ แตะต้องการต่างๆ เช่น ปวดท้อง ฯลฯ เมื่อหิวข้าวหัดให้ลูกรับประทานของกินเอง หัดนั่งกระโถน หัดปรุงแต่งตัว โซกน้ำ จะได้ระงับนุ่งผ้าอ้อม และไม่ฉี่รดเตี่ยวอีกต่อไป
การฝึกให้บุตรหยิบจับอาหารและรับประทานเหยื่อเอง เป็นการหัดความรับผิดชอบอันแรก ที่ลูกจะรับผิดชอบเนื้อตัวเองได้ (เพราะว่าคนเราจะมีชีวิตินทรีย์อยู่ต่อเคลื่อนได้เพราะด้วยตนเอง ต้องเจี๊ยะอาหารเองเป็น ก่อนอื่น) และเดิมที่ชนกแม่จะจำใจให้บุตรหยิบข้าวกินเองนี้ ป๋าแม่ก็คงจะต้องพาลูกไปล้างมือให้สุกใส เมื่อลูกเสวยเสร็จป๊ะป๋าแม่ก็ต้องพาลูกไปล้างมือ ล้างปาก เช็ดปากส่งให้เรียบร้อย ยังไม่ตายการฝึกให้ลูกรู้จัก พิทักษ์สุขอนามัยส่วนปุถุชนทิศต้น ต่อมาหาให้ลูกมีแขวงช่วยในการอาบน้ำเปล่า ร้อยกรองตัว มาถึงห้องน้ำ ฯลฯ
ในวัยนี้ พ่อมาตาควรเสี้ยมสอนให้ลูกรู้จักมารยาทแบบเข้าผู้เข้าคน เช่น ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ ตรัสคำทักทายปราศรัย รู้จักแจกจ่ายปันสิ่งสิ่งให้ผู้อื่น พูดจาไพเราะ ให้เวลาเอ่ยปากคุย เล่นเข้ากับลูก ไห้เพลง พูดพงศาวดารให้ลูกหลานฟัง และอ่านคู่มือกับลูก ดูรูปกับเล่าเรื่องจากรูปให้เลือดเนื้อเชื้อไขฟัง สอนแบ่งออกลูกรู้จักมักจี่สิ่งแวดปิดล้อมภายนอกบ้าน เช่น พาไปสนามเด็กโจ้ สวนสนุก สวนกลับสาธารณะ ให้ลูกมีโอกาสสัมผัสธรรมชาติ สัตว์สมโภช และ สถานทีต่างๆ เพื่อง้างโลกทัศน์ของใช้ลูกให้กว้างขวางขึ้น และที่สำคัญพ่อแม่แตะต้องสอนให้ลูกรู้จักมักจี่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ห้ามเมื่อลูกทำสิ่งไม่ถูกต้อง ชมเชยเมื่อลูกทำถูกต้องตามที่เหมาะสมจะเป็น และให้อำนาจใจเมื่อสายเลือดออดอ้อน จะทำในสิ่งที่พ่อแม่สอน
ที่สำคัญในวัยนี้ พ่อแม่จะมีชีวิตแบบอย่างที่ดีของลูก เพราะลูกหลานจะเรียนรู้รู้จากการได้คงไว้ใกล้ชิด ทำกิจกรรมในบ้านกับนอกที่อยู่ร่วมกับพ่อแม่ เลียนแบบการกระทำปะปนกัน ของป๋าแม่
ผลสรุปสำเร็จของการเลี้ยงดูลูกที่ไม่ผิดต้องในวัยนี้ก็คือ เด็กจะสามารถควบคุมร่างกายได้ ช่วยหลงเหลือ ตนเองในหน้าที่กิจประจำวันคว้า เป็นเด็กดี น่ารัก ฟังฟัง แต่ไม่แหยอายและมีเรื่องมั่นใจในตนเอง มีอยู่กำลังใจที่จะเรียนรู้และพัฒนาท่อนเองต่อไป จากการที่พ่อคุณแม่ยอมให้ฝึกทำสิ่งต่างๆ และคอยให้กำลังใจ ชมเชยเมื่อทำได้ จะทำปันออกเด็กมีความมั่นกมลและอิ่มใจในท่อนเอง
แน่เทียวกันกระโดด ถ้าคุณพ่อแม่รอห้าม ไม่ให้ลูกดำเนินงานสิ่งต่างๆ ที่ลูกเต้าควรจักทำได้เอง เช่น หมอนคนท้อง ลูกหัดย่ำเดินจะ เดินไปเอง พ่อแม่ก็คอยร้องห้าม รอท่าอุ้ม เพราะหวั่นใจลูกจะกระฉอกล้ม ทำให้ลูกกลัวไปหมด ไม่มั่นใจ ไม่กล้าทำอะไรเอง จะทำให้เด็กขาดความมั่นใจ ถ้าพ่อแม่หรือสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัวคอยล้อเลียน ในหัวข้อที่เด็กมานะแล้วทำไม่ได้หรือคอยดุว่า หรือไม่ชี้แจงให้เด็กฟังอย่างง่ายๆ เด็กก็จะมีเรื่อง สงสัย ไม่มั่นใจ และตาขาวอาย ไม่มีหน้าเข้าแวดวง ช่วยเหลือตัวเองในการดำรงชีวิตประจำวันไม่ได้ ต้องให้พ่อแม่คอยป้อน คอยแต่งรูปและทำทุกอย่างให้ เวลาไปโรงเรียนเตรียมประถมก็จะมีข้อสงสัยกินข้าว เองไม่เป็น ฉี่รดเตี่ยว ฯลฯ
ในวัยทารกด้วยกันวัยหัดเดินนี้ นอกพลัดการส่งเสริมการพัฒนาการด้านต่างๆ ดังกล่าวแล้ว สิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกได้เรียนรู้ก็คือ การเล่น สรรพสิ่งเล่น และกิจกรรมระหว่างพ่อแม่ลูก ไม่ว่าจะคือการ เล่น หรือการทำงาน การเจริญเติบโตและพัฒนาของเด็กยังขึ้นอยู่กับอาหารที่ถูกแตะตามวัย งานป้อง-กัน สิ่งทีเป็นวิกฤติ เชื้อโรค อุบัติเหตุ การดูแลสุขอนามัยและความสะอาดสะอ้านส่วนบุคคล สิ่งของ สิ่งของใช้ ที่อยู่อาศัยและสถานการณ์แวดตีวงโค้งให้สัมผัสต้อง รวมทั้งการป้องกันโรคภัยโดยการฉีดวัคซีนตามวัย
โภชนาในวัยเด็กแดง คือ ให้ดูดนมแม่อย่างเดียวไปจนถึงวัย 4 รัชนีกร แล้วหัดยื่นให้ลูกแดกอาหาร เสริมทิวากาลละครั้ง ครั้นเมื่อลูกอายุ 8 เดือนให้ของกินเสริมต่อเติมเป็น 2 มื้อ เมื่อลูกอายุ 10 เดือนให้อาหาร เสริมเพิ่มเป็น 3 มื้อ โดยมีนมคุณแม่เป็นเหยื่อสำคัญ การให้ข้าวปลาอาหารยัน เป็นการหัดให้เด็กกินภักษ์ที่ไม่ ใช่น้ำด้วยกันหัดกินเหยื่อจากช้อน โดยเหตุนั้นอย่าหยิบยกอาหารบวกใส่ขวดจากนั้นให้ลูกดูด
เมื่อลูกอายุได้ 8-9 เดือน หัดให้ลูกหลานดื่มน้ำจืดและโภชนาเหลว (เครื่องดื่ม) จากถ้วย รวมทั้งหัดดื่ม นมจากขันน้ำแก้ว ลูกหลานที่ดูดกษีราแม่เปล่าต้องหัดให้ดูดดึงนมขวด เพราะจะต้องมาเสียเวลาหัดเลิกดูดนมอีก
เมื่อลูกอายุ 1ปีขึ้นไป ลูกจำเป็นจะต้องรับให้อาหาร 3 มื้อให้ครบ 5 หมู่ และดื่มนมเป็น อาหารเสริมวันละ 2 แก้ว (400-500 มิลลิลิตร) หัดให้ลูกเลิกดูดนม (แม่ นมขวด) เมื่ออายุ 12-15 เดือน
เด็กที่ชนมพรรษาเกิน 1 ปีไปต่อจากนั้น อาหารหลัก (ที่สำคัญ) ของลูกหลาน คือ เหยื่อ 5 หมู่ ครบ 3 มื้อ เพราะว่ามีนมยังมีชีวิตอยู่อาหารเสริม (อาหารเพิ่มเติมจากอาหารหลัก) วิธีที่ควรต้องข้างในการให้นมสายเลือดในวัยนี้ คือ การให้ดื่มจากขันแก้ว ไม่ใช่ให้ดูดทิ้งขวด นมที่ให้เด็กดื่มนี้ไม่จำเป็นจำเป็นจะต้องซื้อนมผงที่โฆษณาว่ามี วิตามินและเกลือแร่ครบครันให้เสียเงินโดยไม่จำยังมีชีวิตอยู่ เพราะลูกอายุ 1 ปีขึ้นจากแล้ว มีน้ำย่อยที่ เป็นได้ย่อยพี่เลี้ยงเด็กวัวได้แล้ว โดยไม่จงดัดเกลาให้พ่างนมแม่ (เหมือนในวัยทารก) ดังนั้นพ่อแม่ควร ให้ลูกดื่มนมสด (พาสเจอร์ไรซื หรือ ยู เอช ที) ซึ่งจักมีราคาถูกกว่า และมีคุณค่าของอาหารนมครบถ้วน (และยังเป็นการช่วยซื้อผลิตภัณฑ์นมจากเกษตรกรของไทยเราอีกด้วย)
ในวัยทารกทีแรกเกิด เด็กจะเค้งวันละ 16-18 ชั่วโมง โดยจักหลับและชาคริตเป็นระยะเพื่อให้ดูดนม ทั้งในคราวกลางวันด้วยกันกลางคืน เมื่อลูกอายุได้ 3 เดือน จะนอนวันละประมาณ 15 ชั่วโมง เมื่อลูกอายุ ได้ 6-12 เดือน ลูกจะนอนวันละ 13-14 ชั่วโมง ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยจะนอนกลางวัน โหรงเหรงลง อาจจะหลับไหลในช่วงเช้าและช่วงบ่าย มีเวลาตื่นกลางวันมากขึ้น ส่วนเวลากลางๆคืนก็จะ หลับได้รับนานขึ้น เมื่อเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป ส่วนมากจะเลิกตื่นมาดูดนมช่วงกลางดึกแล้ว จะดูดนม ก่อนนอนและหลับได้รวดเดียวถึงเช้า
เมื่อลูกอายุ 1 ขวบถึง 3 ขวบ จะนิทราประมาณ 12-13 ชั่วโมง โดยนอนรวดเดียว 8-10 ชั่วโมง และเอนหลังช่วงตรงกลางวันอีก 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 1 ชั่วโมง ฉะนั้น เมื่อลูกอายุได้ 6 เดือนขึ้นจากไป พ่อแม่ไม่ควรปลุกลูกมอบให้ตื่นมาใช้สอยนมในช่วงตรงกลางคืนอีก ถ้าลูกยังสัมผัสตื่นลงมากินนมตอนกลางคืนส่วนหลังอายุ 8-9 เดือนไปแล้ว แสดงว่าลูกได้รับอาหารไม่พอในช่วงกลางวัน
พ่อแม่จะทราบได้ว่าลูกเจริญเติบโตสมวัยหรือไม่ก็ทัศนะได้จากหมายกำหนดการการฟ่องฟูเติบมหึมาของผู้เยาว์ ซึ่งมี พักพิงในไดอารี่บันทึกสุขภาพประจำเนื้อตัวเด็กทุกขาที่ได้รับสารภาพเมื่อแม่เจียรคลอดที่โรงพยาบาล หรือสถานบริการ สาธารณสุข ถ้าน้ำหนักพร้อมทั้งส่วนเนินของลูกอยู่ในหลักเกณฑ์ปกติตามวัยแล้ว ก็เสนอว่าลูกได้รับอาหารและ การเลี้ยงดูที่ถูกต้อง มีการเจริญเติบใหญ่โตสมวัย